เรื่องเล่าให้ข้อคิด

เรื่องเล่าให้ข้อคิด  =^________^=

images

เขียนไว้บนผืนทราย

มี เพื่อนสนิทสองคนที่กำลัง เดินทางอยู่กลางทะเลทรายเมื่อเดินทางไประยะหนึ่ง ก็เกิดการโต้เถียงกัน เพื่อนคนหนึ่งโกรธมากถึงกับตบหน้าเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพื่อนคนที่ถูกตบหน้า ไม่ว่าอะไรสักคำเดียว แต่กลับเขียนข้อความไว้ที่พื้นทรายว่า…

“วันนี้เพื่อนรักของฉัน ตบหน้าฉัน” พวกเขาเดินทางกันต่อไป
จนกระทั่งพบแหล่งน้ำกลางทะเลทราย พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำที่นั่น เพื่อนคนที่ถูกตบหน้าก็เกิดจมน้ำ โชคดีที่เพื่อนอีกคนช่วยชีวิตไว้ได้ เมื่อเขาหายตกใจจากการจมน้ำ เขาก็จารึกข้อความไว้ที่ก้อนหินไว้ว่า “วันนี้เพื่อนรักของฉัน ช่วยชีวิตฉันไว้”
เพื่อนคนที่ช่วยชีวิตเขาและตบหน้าเขารู้สึกแปลกใจใน การกระทำของเขา จึงเอ่ยปากถามว่า…

“ตอนที่ฉันทำร้ายเธอ ทำไมเธอเขียนลงบนพื้นทราย แต่ตอนนี้ทำไมเธอสลักลงบนหิน”

เพื่อนอีกคนยิ้มและตอบว่า

“เมื่อ เพื่อนทำร้ายเรา เราควรจะเขียนลงบนพื้นทราย เพื่อให้สายลมแห่งการให้อภัยพัดมา และลบมันทิ้งไป แต่เมื่อมีความประทับใจเกิดขึ้น เราควรจะจารึกไว้ใน ศิลาแห่งความทรงจำจากใจ ศิลาแห่งความทรงจำจากใจ ซึ่งสายลมไม่อาจทำให้มันเลือนลางได้”

เรามีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีเข้ามาในชีวิต
สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ คือ ให้จดจำแต่สิ่งดีๆ
และให้อภัยกับสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้น

“เราอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะคิดให้ดีได้”

78466738

ความโกรธกับรอยตะปูบนรั้ว

 มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุง และบอกกับเขาว่า
”ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัว
เข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน”
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว
และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง
น้อยลง น้อยลง เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ
ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ
และแล้ว หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้นใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ
และบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่
เคยเป็นมา พ่อยิ้ม และบอกกับลูกชายของเขาว่า ”ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว
ทุกครั้ง”
วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว จาก 1 เป็น 2 …. จาก 2 เป็น 3
จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก จนหมด เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า
“ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !!” พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน
และบอกกับลูกว่า “ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่า
รั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไป
โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน
ต่อให้ใช้คำพูด ว่า “ขอโทษ” สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับ
เขาคนนั้นได้
ฉันใดก็ฉันนั้น “กับเพื่อน” .. เพื่อนเปรียบเสมือน อัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม
เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ และยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ … แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน
และระวังสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า ” คำขอโทษ ”
ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ …… ตลอดไป”

หวังว่านิทานนี้คงช่วยให้พวกเรา อยู่ร่วมกัน ทำงาน ร่วมกัน คบกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้น

เรื่อยๆ ตลอดไป…..

555

ขาวกับดำ

เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง
เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กวดสีดำ กับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า “ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า
ข้าจะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้”  ชาวนาไม่ตกลง เศรษฐีจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้น เรามา
พนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ
ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนกรวด
สีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ
นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย”
ชาวนาตกลง เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวด
ทั้งสองก้อนนั้น เป็นสีดำ เธอจะทำอย่างไร? หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงาน
กับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดา
ของเธอก็จะ ยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้
อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหา
มีมากกว่าหนึ่งสาย เสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง บางครั้ง
ในการแก้ปัญหา เราอาจต้องสร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่ ลองหาทางออกดูครับ

ce182c417ca31f9L

มีดโกนหนวดกับร้านตัดผม

กาลครั้งหนึ่ง มีมีดโกนหนวดสวยอันหนึ่งทำงานอยู่ในร้านตัดผม
วันหนึ่งไม่มีลูกค้าเลย มันจึงออกจากด้ามไปผึ่งแดด
เมื่อมันเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงสะท้อนใบมีดราวกับกระจก
มันมีความรู้สึกภูมิใจในประกายของมันมาก

ดังนั้น เมื่อมันหวนคิดถึงอดีตที่เป็นเพียงมีดโกนหนวด จึงรำพันว่า
“วันหนึ่ง ข้าจะกลับไปในร้านที่ข้าเพิ่งจะออกมาหยก ๆ ไหมนะ” ไม่แน่ ๆ!
ข้าไม่อยากจะกลับไปโกนหนวดที่ฟอกสบู่ของผู้คนหยาบคายน่าเกลียดเหล่านั้น !
ข้าไม่อยากทำงานเป็นเครื่องจักรกลเช่นนั้นอีกต่อไป
รูปร่างที่งดงามของข้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานเหล่านี้หรือ ไม่ใช่แน่!
ด้วยเหตุนี้ “ข้าจะไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับ เพื่อลิ้มรสชาติชีวิตพักผ่อนแสนสงบ”
พูดจบ มีดโกนหนวดก็แอบซ่อนตัวอย่างดีเพื่อหลบสายตาคนอื่น ๆ
หลายเดือนผ่านไป วันหนึ่ง มันอยากออกไปสูดอากาศจึงออกจากที่ซ่อน
แต่กว่าจะออกได้ก็ลำบากลำบนเต็มที
เมื่อมันมองดูตัวเอง มันก็งุนงงเป็นที่สุด ช่างน่าแปลกใจอะไรอย่างนี้
มันผิดหูผิดตาเสียจนเหมือนกันเลื่อยขึ้นสนิม
และใบมีดของมันก็ไม่สะท้อนความงดงามของพระอาทิตย์อีกต่อไป
มันสำนึกผิดอย่างขมขื่น แต่ไร้ประโยชน์ที่จะเสียใจกับความงามที่หายไป
มันร้องไห้กับความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้แล้วนี้ พร้อมกับพูดว่า
“อนิจจา! คมมีดที่เสียไปน่าจะได้ใช้งานที่ร้านตัดผมมากกว่า!
ความบางเฉียบของคมมีดข้ากลายเป็นอะไรไป
ใบมีดที่เจิดจ้าของข้าอยู่ที่ไหน
ตอนนี้ข้าถูกสนิมกินจนกร่อน ดูน่าเกลียดน่าชัง
ความทุกข์ของข้าไม่มีทางแก้ได้”
คนขี้เกียจก็เหมือนกับมีดโกนนี้ ไม่ทำงานเอาแต่เพ้อฝัน
จึงสูญเสียรูปร่างและความคมไป


สนิมนั้นก็เปรียบเสมือนความเขลาและความเกียจคร้านนั่นเอง

589

นานมาแล้ว โลกมีเพียงนำแข็งกับนาฬิกาทราย

นานมาแล้ว โลกเป็นเพียงวัตถุทรงกลมเรียบๆเปล่าๆ
ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากน้ำแข็งก้อนใหญ่กับนาฬิกาทรายเรือนยักษ์
ที่มีปลายเปิดสามารถปล่อยทรายออกได้อย่างเดียว

น้ำแข็งกับนาฬิกาทรายเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก
ร่วมทุกข์ร่วมสุขจนทั้งคู่เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว
ความงดงามของน้ำแข็ง ทำให้นาฬิกาทรายแอบชื่นชมหลงใหล
แต่ทุกครั้งที่พยายามแสดงความสนิทสนมใกล้ชิด
ความเย็นชาจากน้ำแข็งก็ทำให้นาฬิกาทรายต้องผิดหวังทุกทีไป
วันหนึ่งนาฬิกาทรายทะเลาะกับน้ำแข็งอย่างรุนแรงถึงขั้นแตกหัก
นาฬิกาทรายร้องไห้เสียใจหนีไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่านาฬิกาทรายกับน้ำแข็งก็ยังไม่คืนดีกัน
ต่างคนต่างอยู่คนละซีกโลก จนมาวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทำให้โลกจะต้องแตกออกเป็นสองส่วน

น้ำแข็งรู้ดีว่าถ้าโลกแตกเป็นสองส่วนแล้ว
ก็คงไม่ได้เจอกับนาฬิกาทรายตลอดกาล
แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่
น้ำแข็งจึงเลือกที่จะอยู่นิ่งๆแทนที่จะออกตามหานาฬิกาทราย
ดวงจันทร์โคจรผ่านมา
น้ำแข็งจึงถามว่าอีกซีกโลกเป็นอย่างไรบ้าง

ดวงจันทร์บอกว่า นาฬิกาทรายกลับมาไม่ทันเพราะโลกกำลังจะแยก
จึงปล่อยทรายออกมาปกคลุมรอยแตกของโลก เพื่อยึดไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน
โดยหวังว่าจะได้กลับมาพบน้ำแข็งอีก
ทันทีที่รู้ น้ำแข็งก็รีบออกตามหานาฬิกาทราย……..

สายเกินไป ทรายกำลังจะหมดจากตัวนาฬิกาแล้ว
เมื่อน้ำแข็งมาถึงก็ได้ยินเพียงคำพูดสุดท้ายจากปากของนาฬิกาทราย
“ฉันรักเธอ”

ความเย็นชาที่มีในตัวน้ำแข็งหมดลงทันที
น้ำแข็งจึงเริ่มละลายในขณะที่ทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงสู่พื้นดิน
กลายเป็นน้ำทะเลที่อ่อนโยน คอยโอบอุ้มผืนทรายที่บริสุทธิ์
อยู่คู่กันมาจนทุกวันนี้

ละทิ้งทิฐิ แล้วความสุขจะเป็นของทุกๆ คน โดยไม่ต้องมีคำว่า “สายเกินไป” นะ

96

กาลครั้งหนึ่ง……นานมาแล้ว

“กาลครั้งหนึ่ง ….. นานมาแล้ว”
มี .. อากง . .แก่ ๆ … อยู่คนนึ่ง …
อยากจะสอนข้อคิดอะไรบางอย่างให้หลาน ๆ … ตามประสาคนแก่

อากง … จึงเรียกหลาน ๆ ทั้งสี่มานั่งล้อมโต๊ะสี่มุม
…. แล้วบอกหลานทั้งสี่ว่า
เอาล่ะหลาน ๆ .. ตอนนี้หลับตา .. นะ .. หลับตา …..
…. พอหลาน ๆ หลับตา … อากง … ก็เดินเข้าไปห้องเก็บของ
แล้วหยิบโคมไฟเก่า ๆ มาอันนึ่ง …

อากง … เปิดฝาครอบ … จุดไฟ … แล้วปิดฝาครอบ …..
…. แล้ว … อากง … ก็บอกหลานทั้งสี่ … ว่า …
ลืมตาขึ้น .. แล้วบอก … อากง … ซิว่าโคมไฟสีอะไร…?

เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้น….ตอบไล่ ๆ กัน
…. ตอบไม่เหมือนกัน…และเริ่ม…ทะเลาะกัน….
…. คนที่นั่งด้านนึ่งบอกว่า…สีแดง
…. อีกด้านนึ่งบอกว่า … เขียว … สีเหลือง … และน้ำเงิน
…. ตามลำดับ ……….

ทั้งสี่ทะเลาะกันพักนึ่ง …. ก็มีเด็กคนนึ่งถาม … อากง … ว่า ……
….. อากง …. ทำไมของอย่างเดียวกัน…มีตั้งหลายสี ……..
อากง … ก็เลยบอกว่า … เดี๋ยวนะ … อากง … จะทำอะไรให้ดู ….

…… อากงเดินมาที่โต๊ะ … หยิบฝาครอบแล้วหมุนให้ดู … ปรากฎว่า ….
…… ฝาครอบสี่ด้าน …. สี่สี … แดง … เหลือง … เขียว … น้ำเงิน …
…… หลังจากนั้น … อากง … ก็บอกว่า …. เอ๊า ตอนนี้บอกอากงซิ …โคมไฟสีอะไร …?
…… หลาน ๆ …. ตอบเหมือนกันคือสีของเปลวไฟ …..

อากง .. เลยบอกว่า …
เอาล่ะหลาน … อากง .. ถามอะไรชักสองข้อนะ ….
ข้อที่ .. 1….. เมื่อสักครู่นี้ …. ครั้งแรก … ใครผิด ….
….. หลานตอบว่า …. ไม่รู้ …..
อากง … บอกว่า …. รึว่า … อากง .. ผิด ……..

อากง … เลยบอกอีกว่า … ฟังนะ .. เจ้าทั้งสี่ .. นั่งอยู่ในที่เดียวกัน ….
….. มองของอย่างเดียวกัน … ในเวลาเดียวกัน … ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย …..
ทำไม .. ? .. ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ ….

อากง .. เลยบอกว่า
… ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมอง … ของตัวเอง … เห็นในสี่งที่ตัวเองเห็น
…. แต่ .. ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็น … อย่างที่เขาเห็น … เจ้าก็เดินไปมองที่มุมของเขา
…. แล้วเราก็จะเห็นอย่างที่เขาเห็น ….
แต่ถ้าลองนึกภาพนะ …. เจ้าทั้งสี่ … นั่งอยู่ที่เดียวกัน
… มองของอย่างเดียวกัน … ในเวลาเดียวกัน
… ยังเห็นไม่เหมือนกันเล๊ย ….

ในอนาคต … .เวลาที่อยู่ในสังคม … เป็นไปได้มั๊ย…
คน .. ก็มองสี่งต่าง ๆ …. ไม่เหมือนกัน ……
เพระฉะนั้น …. เวลาที่คนคิดไม่เหมือนเรา …. ใครผิด …

ในอนาคตนะ … เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่น
…. อย่าไปโกรธว่าเขาผิด … อย่าไปกลัวว่า … ตัวเองผิด ….
เพราะคนแต่ละคน … ก็เห็นสี่งต่าง ๆ … จากขอบข่ายประสบการณ์และสี่งแวดล้อมของตนเอง ….
แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่า … ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น …. เจ้าก็เดินไปมุมของเขา
…. และเมื่อเจ้ายอมเข้าใจคนอื่น
…. อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมา …. และเข้าใจเจ้า …..

คำถามที่ .. 2 … อากง .. บอกว่า ….
ที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลัง …. เป็นของอย่างเดียวกันมั้ย .. ? ….

….. หลานบอกว่า …. อย่างเดียวกัน …..
แล้วเห็นเหมือนกันมั๊ย …. ? …. ครั้งแรกเห็นอะไร … ?
….. หลานตอบว่า … ฝาครอบ …. และครั้งหลังเห็นเปลวไฟ ….

อากงเลยบอกว่า …. หลาน ๆ เอ๊ย …
ในอนาคตถ้าเลือกได้นะ … อย่ามองสิ่งต่าง ๆ … เพียงแค่ที่เห็น ….
แต่ …… จงเข้าใจสิ่งต่าง ๆ … อย่างที่เป็น

83794

ฉันชื่อ ” โอกาส ” อย่าปล่อยให้ฉันจากไป

ที่ เมืองหนึ่งของประเทศกรีก เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอู่ใจกลางเมือง ปัจจุบันนี้ รูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก แต่แผ่นที่จารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่ คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา

“รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร”
“ฉันชื่อโอกาส”

“ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา”
“ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส”

“ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?”
“เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม”

“แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก”
“เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว”

“แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้”
“ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย”

“แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว”
“ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่”

จริง ด้วย ทางด้านหน้าของ “โอกาส” มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง เพราะเมื่อปล่อยให้ “โอกาส” ผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก

“โอกาส” จึงเตือนเราทุกคนว่า “อย่ามาต่อว่าฉัน ว่าฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน ทุกวันฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง ให้รีบตัดสินใจ ให้ลงมือทำ ให้ออกแรง ให้สู้ เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ

จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป เธอจะได้ไม่ต้องนั่งเสียใจในภายหลัง ที่ฉัน “โอกาส” ผ่านมา แต่เธอ

ไม่รู้จักจับฉวย

thumb1_3796

เศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีภรรยา 4 คน เขาจะรักคนไหนที่สุด ?

กาล ครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีภรรยา 4 คน เขารักภรรยาคนที่ 4 มากที่สุด รองลงมา คือคนที่ 3,2 และ 1 ตามลำดับ ดั้งนั้นภรรยาคนที่ 4 ซึ่งเป็นคนล่าสุด สาวที่สุด จึงได้รับความเอาใจใส่ และให้ความสำคัญมากกว่าคนอื่นๆ

ต่อมา เมื่อเศรษฐีแก่ชราลง เขาอยากจะรู้ว่า ในบรรดาภรรยาทั้ง 4 คนนี้ ใครบ้างที่รักเขาจริง เศรษฐีเรียกภรรยาคนที่ 4 มาถามว่า “นี่น้อง อีกไม่นานพี่คงต้องตายจากไป หากพี่ตายไป พี่อยากจะชวนน้องไปอยู่อยู่ด้วย เพราะพี่รักน้องมากที่สุด น้องจะไปด้วยได้ไหม”

ภรรยาคนที่ 4 ก็ตอบว่า “จะบ้าหรือพี่ มีใครที่ไหน ที่จะตามคนตายไป พี่ไปของพี่ก่อนเถอะนะ น้องไม่ไปด้วยหรอก”

เศรษฐผิดหวังอย่างหนัก เสียใจอย่างมากเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น จึงหันไปถามภรรยาคนที่ 3 ด้วยคำถามเดียวกัน

ภรรยาคนที่ 3 ก็ตอบว่า “พี่เป็นอะไรไป ถึงคนรักกันปานใด ก็ไม่มีใครยอมตายตามไปด้วยหรอก เชิญพี่ตายไปก่อนเถิดนะ”

เศรษฐี ต้องเสียใจซ้ำสอง คิดว่าคนที่รักรองลงมาจะตายตามไปด้วย ก็ผิดหวังอีก จึงหันไปถามภรรยาคนที่ 2 ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบปฏิเสธในทำนองเดียวกัน ทำให้เศรษฐีผิดหวังมากยิ่งขึ้น จึงหันไปถามคนสุดท้าย ซึ่งเป็นภรรยาคนแรก ซึ่งเขาไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลนัก ทั้งไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่ จึงถามไปอย่างไม่คาดหวังอะไร

แต่ภรรยาคนที่ 1 กลับตอบว่า “เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น ยามสุขก็สุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน จะทอดทิ้งกันได้อย่างไร ถ้าพี่ตายไป น้องก็จะขอตามไปด้วย”

ใน ที่สุด เศรษฐีจึงได้รู้ว่า ภรรยาคนแรก ซึ่งเขาไม่เคยให้ความสำคัญเลยนั้น กลับเป็นผู้ที่รักเขาอย่างจริงใจ และมีน้ำใจจะติดตามปรนนิบัติเขาไปทุกหนทุกแห่ง ส่วนภรรยาผู้ที่เขาทุ่มเทความรักให้อย่างมากมาย กลับมิได้สนใจใยดีในตัวเขาเลย

ถึงตอนนี้ ลองคิดดูให้ดีสิว่า เศรษฐีผู้นี้คือใคร?

แท้ที่จริงแล้ว เขามิใช่คนอื่นคนไกลเลย เขาคือ…ตัวเรานั่นเอง

เราทุกคน ต่างเปรียบได้กับเศรษฐีที่มีภรรยา 4 คน โดยที่…

ภรรยาคนที่ 1 คือ จิตใจ

ภรรยาคนที่ 2 คือ ร่างกาย

ภรรยาคนที่ 3 คือ บ้านเรือน สมบัติพัสถาน

ภรรยาคนที่ 4 คือ เสื้อผ้า เครื่องประดับ

เพราะ ฉะนั้น เลือกเอาเถิดว่าเราจะรักและเอาใจใส่ภรรยาคนไหนให้มากที่สุด บางคนอาจจะเป็นเศรษฐี ผู้ซึ่งไม่รู้ว่าควรจะรักใคร ดังจะเห็นได้จาก… บาง คนมัวแต่เอาใจใส่ให้เวลากับเรื่องเสื้อผ้า เครื่องประดับ บ้างก็มัวแต่เฝ้าหวงแหนทรัพย์ ดูแลบ้านเรือน สมบัติพัสถาน บ้างก็มัวเฝ้าทะนุถนอมบำรุงรักษา แต่เพียงร่างกาย

โดย หารู้ไม่ว่า ตราบใดที่ยังไม่รู้จักวิธีการดูแลรักษาจิตใจที่ถูกต้อง ย่อมเปรียบได้กับเศรษฐีผู้มองข้ามภรรยาคนที่ควรจะรักมากที่สุดไป แต่สำหรับผู้ที่หมั่นรักษาจิตใจนั้น รู้จักวิธีการใช้โลกียทรัพย์ เปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ ตัดความตระหนี่ด้วยการทำทาน นำร่างกายที่เกิดเป็นมนุษย์ รักษาศีลให้สมบูรณ์ เพื่อนำความไม่มีโรค ติดตัวไป และนำดวงปัญญาที่สว่างไสวไปด้วยการทำสมาธิ ทำใจหยุดใจนิ่ง สู่หนทางพ้นทุกข์ ย่อมจะเป็นทุน เป็นเสบียงที่จะนำความสุข ความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นในอนาคตที่ยาวไกลได้

นี่คือชีวิตที่เราเลือกได้ ว่าจะทุ่มเทความรักให้กับสิ่งใด ระหว่างของชั่วคราวอันน่าหลงใหล กับจิตใจซึ่งจะติดตามเราไปตลอดกาล

happy

ความจริงที่อยู่ใกล้ๆตัว  อ่านสักนิด ข้อคิดจากหญิงชรา

ในตอนกลางดึก มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน

สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่ เลยถามขึ้นว่า “ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?”

หญิงชราผู้นั้นตอบว่า “ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ”

พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอ

ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย “ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน”

ยาย ตอบว่า “ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า ” …พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป

เมื่อ เราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนต์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่าง ๆ หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่ที่คนอื่นมีความสุข

ความ สุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน? … คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา จากใจเรา ดังนั้น เราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา

01_79

กำลังใจจากสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา

วัน หนึ่งลูกสาวพร่ำบนถึงชีวิตอันแสนลำเค็ญให้พ่อฟังว่า เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและปรารถนาที่จะยอมแพ้พ่าย ด้วยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการแข่งขัน ประหนึ่งว่าเมื่อสางปัญหาหนึ่งเสร็จสิ้น อีกปัญหาหนึ่งก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

ผู้ เป็นพ่อซึ่งเป็นพ่อครัวจึงเดินนำเธอเข้าไปในครัว จัดแจงต้มน้ำในหม้อสามใบ ด้วยไฟแรงจนน้ำเดือด เขาใส่แครอทในหม้อใบแรก วางไข่ลงในหม้อใบที่สอง และตักกาแฟลงไปในหม้อใบสุดท้าย แล้วปล่อยให้มันต้มไปเรื่อยๆ โดยไม่มีคำอธิบายเลย ฝ่ายลูกสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและหมดความอดทน ทั้งยังสงสัยว่าพ่อกำลังทำอะไร ยี่สิบนาทีผ่านไป เขาก็ปิดเตาแก๊ส

ตักแครอทขึ้นมาวางไว้ในชาม นำไข่วางไว้ในชามอีกใบหนึ่ง และตักกาแฟไว้ในชามสุดท้าย แล้วหันไปถามลูกว่า

“ลูกเห็นอะไรบ้าง”

“แครอท ไข่ กาแฟ” เธอตอบ

เขา จึงขอร้องให้เธอสัมผัสแครอท เธอจึงรู้ว่ามันนิ่ม แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่นั้นได้ต้มจนสุก แล้วท้ายที่สุดเธอให้ลูกสาวลองจิบกาแฟดูเธอยิ้มและลิ้มรสอันหอมกรุ่นนั้น แล้วค่อยๆถามว่า

“นี่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ “

พ่อ อธิบายว่า เราได้กระทำต่อสามสิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิมแครอทดูแข็งๆ และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก

ไข่ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบางๆคอยห่อหุ้มของเหลวภายใน แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น

ขณะที่กาแฟกลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป

“แล้วลูกล่ะเป็นอะไร” พ่อถามลูกสาว เมื่อความทุกข์มาเยือน ลูกจะเตรียมรับมืออย่างไรลูกเป็นแครอท ไข่ หรือ กาแฟ

แล้วคุณล่ะ ?

แครอทนั้นดูแข็งโป๊กแต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา อ่อนแอและสูญเสียเรี่ยวแรงกำลังไป

หรือ จะเป็นไข่ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรกจิตใจอันอ่อนไหวของคุณ จะเป็นอย่างไรหลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการเลย์ออฟ หัวใจของคุณหยาบกร้าน และแข็งกระด้างขึ้นหรือเปล่า แม้เปลือกภายนอกของคุณยังคงเดิม หากหัวใจและจิตวิญญาณของคุณเล่า มันปวดร้าวและได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง

หรือคุณเหมือนเมล็ดกาแฟ เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100 องศาเซลเซียส กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น

หาก คุณเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด นอกจากคุณจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว คุณยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย

แหล่งที่มา : http://patji.net/patji-club/-mainmenu-26/2010-08-30-08-29-11.html

Leave a comment